บันทึกการเดินทาง > เที่ยวเชียงคาน (1-2 มกราคม 2554)
จะไปไหนก็ไป "เลย"
เชียงคาน เป็นเมืองที่มีมนต์เสน่ห์และคงกลิ่นอายของเมืองโบราณริมฝั่งแม่น้ำโขงเอาไว้ ผสมผสานกับวิถีชีวิตของผู้คน บ้านเรือน
และวัฒนธรรมประจำท้องถิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ ทำให้เมืองแห่งนี้น่าสนใจ และด้วยบรรยากาศที่หนาวเย็นในช่วงท้ายปีไปจนถึงต้นปีใหม่
ทำให้ที่นี่ดูลงตัว และเหมาะแก่การพักผ่อนจากการทำงานที่เหน็ดเหนื่อยมาตลอดทั้งปี
เมื่อต้นปี 2554 ที่ผ่านมา ผมและเพื่อนๆ ได้มีโอกาสเดินทางไปพักผ่อนที่อำเภอเชียงคาน
ซึ่งเป็นอำเภอที่อยู่ติดกับชายแดนประเทศลาวโดยมีแม่น้ำโขงกั่นกลาง
ชุมชนแห่งนี้ได้ติดต่อค้าขายกับเพื่อนบ้านมาอย่างช้านานนับแต่อดีต
ทำให้ผู้คนสองฝั่งโขงได้แลกเปลี่ยนวัฒนธรรม และมีวิถีชีวิตที่คล้ายคลึงกัน
แถมยังคงรักษาความเก่าแก่ของสิ่งปลูกสร้าง บ้านเรือน ประเพณีขนบธรรมเนียมเอาไว้อย่างดี
ปัจจุบันมีนักเที่ยวจากทั่วสารทิศ แวะเวียนมาเยี่ยมเยือน ความเจริญต่างๆ ก็เข้าไปยังพื้นที่
อะไรๆ ก็ดูจะเป็นธุรกิจไปหมด แต่โดยรวมก็ยังอยู่ในระดับที่พอรับได้
แต่เดิมนั้นเมืองเชียงคานเป็นเมืองที่เงียบสงบ อากาศดี มีร้านกาแฟให้นั่งจิบ มีมุมหนังสือเล็กๆ ให้นั่งอ่าน
ส่วนผู้คนก็เป็นมิตร อัธยาศัยดี เรื่องอาหารการกินและที่พักก็ราคาไม่แพง เมื่อเทียบกับแหล่งท่องเที่ยวอื่น
ช่วงที่นักท่องเที่ยวนิยมมาที่สุดก็คงจะเป็นช่วงฤดูหนาวยาวไปจนถึงต้นปี เพราะด้วยสภาพอากาศที่หนาวเย็น
กับบรรยากาศความสงบ ซึ่งเป็นอะไรที่ลงตัวและดึงดูดมากๆ
การเดินทางสู่เชียงคาน เริ่มต้นขึ้นในตอนบ่ายของวันที่ 1 มกราคม (2554) โดยผมและเพื่อนรวม3ชีวิตได้ตกลงกันว่า
จะไปนอนพักผ่อนที่เชียงคาน 1คืนและค่อยเดินทางต่อไป อ.ปาย จังหวัดแม่ฮองสอน ในเช้าวันถัดไป (ตามแผนที่วางเอาไว้)
เราออกเดินทางจากจังหวัดขอนแก่น ใช้เส้นทางขอนแก่น-ชุมแพ-เลย-เชียงคาน
ระหว่างที่เดินทาง สองข้างทางเต็มไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ เขียวขจีร่มรื่นตลอดเส้นทาง
ถนนค่อนข้างดี ขับขี่ง่าย โดยเฉพาะช่วงจากตัวเมืองเลยไปจนถึง อ.เชียงคาน ถนนกว้างขวาง ขับชิลๆ
ถึงตัวอำเภอเชียงคานเวลาพลบค่ำ เราเอารถไปจอดบริเวณหน้า รพ.เชียงคาน และเข้าไปล้างหน้าล้างตาในห้องน้ำ
ซึ่ง รพ.เองก็ไม่ได้ไกลจากถนนคนเดินมากนัก และบังเอิญว่าแถวนั้นมีร้านอาหารตามสั่งอยู่ร้านหนึ่ง
พวกเราไม่รีรอที่จะพุ่งทะยานเข้าสู่ร้านที่ใกล้ที่สุด พร้อมพกท้องว่างๆ มาเพื่อจะได้ทานอาหารเย็นอร่อยๆ ที่ เชียงคาน
มื้อแรกที่เชียงคาน อร่อยมากครับ ค่าเสียหายรวม 240 บาท มีกับข้าว 4 อย่าง ต้มจืด ต้มยำทะเล
กระเพาหมู คะน้าหมูกรอบและ ข้าวสวยอีก 6 ถ้วย รวมกับน้ำดื่ม 2 ขวดแก้ว ทานกัน 3 คน
เฉลี่ยแล้วจ่ายคนละ 80 บาท ซึ่งเทียบไ่ม่ได้เลยกับความอิ่มที่พวกเราได้รับ (ฮฺฮฺ..)
หลังจากเติมพลังกันจนเต็มท้องแล้ว เราก็เดินหาที่พักในถนนคนเดินเลียบแม่น้ำโขง
สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมประทับ นั่นก็คือราคาของที่พักแถวนี้ช่างถูกแสนถูก แต่ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าต้องจองล่วงหน้านะครับ
อย่าหวังว่าจะไปหาห้องพักในวันที่เดินทางไปถึง ยิ่งเป็นช่วงเทศกาลก็รู้กันอยู่นะ บ้านเรา !@#$%
เราเดินกันไปเรื่อยๆ ในระหว่างนั้นผมก็ถือโอกาสเก็บภาพบรรยากาศไปตลอดทาง
ผู้คนเดินส่วนกันไปมาเยอะมากครับ แม้อากาศจะค่อนข้างหนาว แต่ก็รู้สึกอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก ..
เดินไป ก็หันมองร้านค้าไปด้วย เผื่อจะมีของกินของใช้ที่ถูกใจไปฝากเพื่อนๆ
ร้านไหนสะดุดตา ก็จะแวะนานหน่อย
เช่นร้านนี้ เชียงคานสบายดี
พอดีเจอร้านนี้น่าสนใจมาก แต่มีเด็กๆ ยืนเต็มหน้าร้าน เราจึงไปอยู่ข้างๆ ร้าน เก็บภาพการทำขนม
แหม่ของเขาดีจริงๆ เชียว (สาบานว่าเก็บภาพการทำขนมครับ จริงๆ)
หลังจากที่เดินถามห้องพักกันจนเมื่อยขา และแทบจะหมดหวังแล้ว
เราตัดสินใจเดินกลับไปทีรถ และขับไปหาห้องพักที่อยู่บริเวณอื่นที่ใกล้เคียง
ก่อนที่จะมีคนเป็นบ้าไปมากกว่านี้
สุดท้ายได้เป็นพื้นที่กางเต้นท์แทน เป็นลานกวางๆ เอารถเข้าไปจอด แล้วก็เข้าไปนอนในเต๊นท์ได้เลย
เราได้เต๊นท์หลังใหญ่ ราคา 300 บาทต่อคืน แถมมีห้องน้ำไว้ให้บริการด้วย
แต่ห้องน้ำไม่ได้อยู่ในเต๊นท์นะครับ มันเยี่ยมไปเลย ห้องน้ำสร้างใหม่ สะอาดมาก แต่...ไม่มีหลังคา
ผนังฉาบเรียบขรุขระ ด้วยเหตุผลบางประการ มีก๊อกน้ำคล้ายฝักบัว แต่ไม่มีหัวฝักบัว ทิศทางหันเข้าหาผนัง
จึงร้องอ่อทันที เหตุผลของผนังนั้นคือใช้ในการสะท้อนให้น้ำกระเด็นมาโดนตัวเรา
อยากถามครับ อยากถามเจ้าของรีสอทว่า พี่จะอาร์ทไปไหนครับ??
ด้วยอากาศที่หนาวสุดๆ ในค่ำคืนนี้ เราอาบน้ำได้ฟิลลิ่งกันมากครับ
คืนนี้ขอตัวเข้านอนก่อนนะครับ คร๊อก..ฟี้
เช้าวันใหม่ เราเดินทางไปยังตีนภู ที่เขาเรียกกันว่า ภูทอก เพื่อรอต่อคิวขึ้นรถสองแถว
ขึ้นไปรอดูทะเลหมอกและดวงอาทิตย์ขึ้นในยามเช้า แน่นอนครับว่า อากาศหนาวสุดๆ
แต่ยังดีที่บริเวณจุดจอดรถรับส่ง มีร้านข้าวต้ม โจ๊ก ก๋วยจั๊บไว้บริการ แหม.. มันเยี่ยมจริงๆ
ทางขึ้นภู เป็นถนนแคบๆ มีหมอกจางๆ ตลอดทาง ก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ต้องจอดรถส่วนตัวไว้ด้านล่าง นะครับ
เพราะถ้าปล่อยให้ นทท.ขับรถขึ้นมาเอง อันตรายแน่นอน
เมื่อขึ้นไปบนยอดภูทอก เราก็ต้องไปต่อคิวเดินแถวตอนเรียงหนึ่งเลาะไปตามไหล่เขา เพื่อไปยังจุดที่ชมดวงอาทิตย์ขึ้น คนเยอะดีครับ อบอุ่นอีกแล้ว
ยอมเหนื่อยมาทั้งวัน เดินทางมาก็ไกล ยอมตื่นเช้าๆ ก็เพื่อสิ่งนี้ คุ้มค่าจริงๆ (ต้นกล้วยยามเช้า)
รอจนกว่าพระอาทิตย์จะโผล่ครับ
นอกจากถนนคนเดินแล้ว จากภาพก็แสดงให้เห็นว่า
ภูทอก ก็เป็นอีกจุดหนึ่งที่ได้รับความนิยมไม่แพ้กันครับ
หลังจากที่นั่งดูยืนดูเมฆหมอกกันจนหน่ำตาแล้ว เราก็พากันทิ้งดิ่งลงสู่ภาคพื้น มายังแก่งคุดคู้แห่งเมืองเชียงคาน
แต่จะบอกว่า มากันเช้าเกินไป เลยไม่มีร้านขายอาหารให้บริการ บรรยากาศดูเงียบๆ เหงาๆ แปลกๆ นะ ผมว่า
เคยหล่อมาเยอะครับ แต่ไม่เคยหล่อเสาหลักกิโลเลย ตึงโป๊ะ!!
หากมองลงไปในแกะแก่งแห่งนี้ จะเห็นว่าน้ำตื้นเขินมาก สามารถลงไปเดินอยู่กลางแก่งได้เลย
อย่าว่าแต่เดินเลย มีคนกางเต๊นท์นอนด้านล่างด้วย
ชาวบ้านแถวนี้เขาบอกว่า ถ้าไม่ใช่ฤดูน้ำหลาก น้ำจะแห้งขอดแบบนี้แหละ !!
ขึ้นไปชมวิวบนยอดศาลา ชมทัศนียภาพที่งามหยดย้อยของแก่งคุ้ดคู้
กลับมาที่ถนนคนเดิน
ซึมซับบรรยากาศริมน้ำโขงในช่วงเช้าบ้างว่าจะสวยขนาดไหน
เรามาช้าไปนิดเดียว จึงมาไม่ทันหมอกยามตอนเช้า ณ จุดนี้
ลองนึกภาพ ถ้าได้นั่งจิบกาแฟ ชมบรรยากาศริมน้ำ หมอกลงจางๆ รับรองว่าต้องฟินเอามากๆ เลยครับ
เดินไปเดินมาชักรู้สึกว่าท้องมีเสียง อ๊อดแอ๊ดๆ เลยแวะทานเมนูเด็ดที่ขึ้นชื่อของ ถนนคนเดินเชียงคาน นั่นก็คือ ...
ไข่กระทะนั่นเอง รสชาตดีสุดๆ ราคาเพียง 20 บาทเท่านั้น ใครมีโอกาสได้มาเที่ยว อย่าลืมแวะทานกันนะครับ
ทานอาหารเช้าเสร็จ ก็เดินย่อยอาหารไปตามร้านต่างๆ
นั่งกินลมชมสาว เอ้า!! เก๊กให้แฟนคลับถ่ายรูปไว้หน่อย เดี๋ยวจะหาไม่ได้มา
เพราะอากาศในตอนกลางวันร้อนมาก แทบไม่มีที่ให้หลบแดดนอกจากร้านค้า ไม่รู้จะไปเดินเล่นที่ไหนแล้ว
เลยตัดสินใจกลับบ้านดีกว่า ไม่ไปแล้ว ปาย เพราะเวลาไม่เคยพอจริงๆ
ไว้คราวหน้า เราจะไปกันแน่นอน
ระหว่างทางกลับบ้าน เราผ่านจุดชมวิว ผานกเค้า เลยแวะกินข้าว เอ้ย!! แวะเก็บภาพมาฝากทุกท่านครับ
ครั้งหน้าทริปต่อไปพวกเราจะไปที่ไหน สามารถติดตามกันได้
ทางเว็บไซต์นี้หรือกดติดตามที่ FB เพจ @uptometripthailand ได้เลยยนะครับ
ชมภาพความทรงจำอื่นๆ ของทริปนี้ได้ที่นี่ http://www.t-mediacreation.com/photography.html?album=photo&id=1&cat=2