บันทึกการเดินทาง > เที่ยวกาญจนบุรี - สะพานมอญ สังขละบุรี
ออกเดินทางไกลตั้งแต่เช้า จากกรุงเทพฯ ถึงกาญจนบุรี แวะไปกราบนมัสการพระที่วัดถ้ำเสือ
บุกป่าผ่าดงไปดู ต้นจามจุรี ตามรอยเจ้าแม่นาคีถึง ปราสาทเมืองสิงห์ แล้ววิ่งยาวไป
ป้อมปี่ ปางอุ๋งเมืองกาญฯ ดูดวงอาทิตย์ตก
ที่สะพานไม้ สังขละบุรี
ที่กล่าวมาทั้งหมด เป็นแผนการที่เราใช้กับทริปนี้ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะไปได้ครบทุกที่หรือเปล่า
เพราะแต่ละที่นั้นก็มีช่วงต่อเวลาพิเศษอยู่แล้ว เอาเป็นว่าเราเก็บให้ได้มากที่สุดในเวลาที่เรามี
ได้เวลาออกเดินทางต่อกันแล้ว จุดหมายต่อไปที่เราจะแวะทานอาหาร คือ น้ำตกไทรโยคน้อย อ.ไทรโยค
เราออกจากปราสาทเมืองสิงห์เวลา 14.20 น. ใช้เส้นทาง (3455) กาญจนบุรี-ไทรโยค จากนั้นตัดออกทางหลัก (323)
จากปราสาทเมืองสิงห์ ถึง น้ำตกไทรโยคน้อย
ระยะทางประมาณ 38 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณครึ่งชั่วโมง
น้ำตกไทรโยคน้อย หรือชื่อเดิม น้ำตกเขาพัง ตั้งอยู่ริมถนน กาญจนบุรี-ทองผาภูมิ (323) ห่างจากตัวเมืองประมาณ 60 กิโลเมตร
เราตั้งใจแวะที่นี่เพื่อทานข้าวกันเฉยๆ ครับ ไม่ได้จะเข้าไปถ่ายรูปที่น้ำตก เนื่องจากจุดนี้ก็เคยมาบ่อยครั้งแล้ว
คิดว่าไม่น่าจะมีอะไรแตกต่างไปจากเดิม และหากแวะเข้าไปที่น้ำตก อาจจะทำให้ไปถึงสังขละบุรี ค่ำมืดเกินไป
หลังทานอาหารเสร็จ เราก็รีบเดินทางต่อไปยัง
จุดชมวิวป้อมปี่ เนื่องจากเคยได้ยินเพื่อนนักเดินทางบอกมาว่า ที่นั่นคือปางอุ๋งแห่งกาญจนบุรี
เลยอยากจะไปให้เห็นกับตาตัวเอง
จากน้ำตกไทรโยคน้อย จนถึงอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ระยะทาง 120 กิโลเมตร
หากขับรถส่วนตัวมาเอง ต้องเติมน้ำมันไว้เยอะๆ เพราะเส้นทาง อ.ไทรโยค ไปถึง อ.ทองผาภูมิ แทบจะไม่มีปั๊มน้ำมันเลย
จะมีก็ตรงก่อนเลี้ยวแยกเข้าไปเส้นทางทองผาภูมิ-สังขละบุรี และอีกปั๊มที่ อ.สังขละบุรี เลย
เส้นทาง ทองผาภูมิ-สังขละบุรี เป็นทางเนินขึ้นลงเขา
ถนนแคบ 2 เลนสวน ไม่มีไหล่ทาง ผิวถนนลาดยางมีหลุมขรุขระเป็นระยะ ต้องขับด้วยความระมัดระวัง
เมื่อมาถึงอุทยานแห่งชาติเขาแหลม ขับเลยไปประมาณ 2 กิโลเมตร จะเจอทางเข้าจุดชมวิวป้อมปี่ อยู่ทางซ้ายมือ
ต้องสังเกตทางเข้าและป้ายให้ดี เพราะหากวิ่งเลยไป คงหาที่กลับรถได้ลำบากแน่
เรามาถึง จุดชมวิวป้อมปี่ ก็เกือบจะหกโมงเย็นแล้ว
เมื่อขับมาถึงทางเข้า สอบถามกับทางเจ้าหน้าที่ เขาแนะนำให้เราไปยังปลายทางของเราก่อน
เพราะเส้นทางไป อ.สังขละบุรี ในช่วงค่ำค่อนข้างอันตราย พรุ่งนี้ค่อยกลับมาใหม่
เราจึงตัดสินใจทำตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่
ทำให้วันนี้ เราอดถ่ายภาพที่ป้อมปี่ในยามเย็น แต่ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ค่อยแวะมาอีกทีก็ได้
ออกจากป้อมปี่ เราก็เดินทางต่ออีกเกือบ 40 กิโลเมตร เพื่อจะไปยังที่พักใน อ.สังขละบุรี
ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1ชั่วโมง
ถึงแล้วครับ บ้านคุณมน ชื่อที่พักของเราคืนนี้ เป็นบ้านพักฝั่งชุมชนมอญซอย 7 เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงสะพานไม้
ค่าห้องก็คืนละ 1,000 บาทครับ ถ้ามาเป็นแก๊งค์ ก็นอนห้องเดียวกันได้ คิดคนละ 300บาทต่อคืน
พร้อมอาหารเช้าครับผม
เมื่อมาถึงก็มืดค่ำแล้ว ไม่ทันได้ถ่ายภาพดวงอาทิตย์ตก
งั้นก็ขอเก็บข้าวของเข้าในห้อง ไปอาบน้ำปะแป้งแต่งตัว เตียมตัวออกหาอาหาร :)
บรรยากาศของสะพานมอญยามค่ำคืน ได้อารมณ์อีกแบบนะครับ
ทางเดินเลียบริมน้ำ ก็ยังมีร้านขายของเปิดให้บริการอยู่ สงสัยจะรอพวกเรา
เดินลัดเลาะข้างสะพานย้อนขึ้นมาในตลาดฝั่งชุมชนมอญ จะมีร้านจำหน่ายของที่ระลึกมากมายหลายร้าน
อยากเอาไปฝากเพื่อนๆ ที่ไม่ได้มาจัง แต่.. ยังก่อนดีกว่า
บรรยากาศยามค่ำของตลาดฝั่งมอญ นักท่องเที่ยวดูบางตา ร้านค้าเริ่มทยอยปิดร้าน
ที่สำคัญไปกว่านั้นคือ เราก็เริ่มหิวกันแล้วด้วย
หลังจากเดินวนในตลาดฝั่งมอญจนทั่วแล้ว ก็เดินย้อนกลับมาที่คอสะพานไม้เพื่อจะข้ามไปฝั่งนู้น
ก่อนจะข้ามสะพาน ขอเช็คผลบอลแป๊บนึ่ง เอ้ย!! ไม่ใช่ครับ เช็คว่าในสังขละฯ มีร้านไหนอาหารอร่อยบ้าง แฮร่ๆ
บรรยากาศบนสะพานไม้ แม้จะเป็นวันหยุดยาว แต่นักท่องเที่ยวกลับบางตา ไม่เยอะเหมือนที่คิดไว้
ระหว่างทางเดินบนสะพาน จะมีที่นั่งจัดไว้ให้เป็นช่วงๆ บางจุดนักท่องเที่ยวนั่งถ่ายรูปกัน บ้างก็นั่งชมวิว
บางจุดก็มีเด็กรุ่นๆ ในชุมชนแถวนั้น มานั่งเล่นกีต้าร์ ร้องเพลงเบาๆ คลอกับเสียงน้ำไหล บรรยากาศดีมากๆ เลยครับ
พอเจอร้านอาหาร ก็รีบเดินเข้ามา สั่งกับข้าวและเครื่องดื่มเย็นๆ เติมพลังงานสักหน่อยให้ร่างกายที่กำลังอ่อนแรงกลับมามีพลังอีกครั้ง
หลังจากเช็คบิลค่าอาหาร เดินออกจากร้านมาเจอพี่วินนี่ ที่จอดรอผู้โดยสารอยู่หน้าสะพาน
จึงสอบถามสารทุกข์สุขดิบและเขาก็แนะนำว่าวันนี้มีถนนคนเดิน แต่ไกลออกไปราว 1 กิโลเมตร
ถ้านั่งวินไปก็ 20บาท/คน เราค่อนข้างลังเล ว่าจะเดินไปหรือจะวิ่งไปดี แต่สุดท้ายหักมุมสุดๆ เราเลือกนั่งมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
ระยะทางจากคอสะพานมาถึง ถนนคนเดินสังขละบุรี วัดจาก Google Map ได้ 1กิโลเมตรพอดี พอมาถึงก็อย่างที่เห็นครับ
เหมือนจะเก็บของกันแล้ว แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว ลองเดินเข้าไปข้างในก่อนดีกว่า
เข้าใจแล้วว่าสินค้าตลาดมืดเป็นยังไง แต่ถึงตลาดจะมืด ก็ยังมีอะไรขาวๆ อยู่บ้าง
นั่นไงหละตรงนั้น เสื้อยืดสีขาวในร้านนั่น
ตลาดถนนคนเดินสังขละบุรี เปิดทุกวันเสาร์ เวลา 17.00-22.00 น. อาจจะมีเพิ่มวันบ้างในช่วงวันหยุดพิเศษ
ภายในตลาดนอกจากจะมีของกิน ของที่ระลึก เสื้อผ้า อาหารพื้นเมืองแล้ว ยังมีการแสดงจากน้องๆ นักเรียนนักศึกษาในพื้นที่อีกด้วย
สาวๆ ขาช๊อป ที่มาเที่ยวสะพานมอญในวันเสาร์-อาทิตย์ ไม่ควรพลาดถนนเส้นนี้ครับ บอกเลยว่า ชิค
ส่วนหนุ่มๆ อย่างผมได้เครื่องดื่มสักกระป๋อง แล้วก็ขอกลับไปนอนพักผ่อนเอาแรง
เตรียมพร้อมการเดินทางในเช้าวันใหม่ สำหรับคืนนี้ราตรีสวัสดิ์ ครับผม
...
..
.
สวัสดียามเช้า สะพานมอญ สังขละบุรี ขณะนี้เวลา 6 นาฬิกา 0 นาที เทียบเวลาโดย casio
เดินมาริมน้ำ หาพื้นที่รันเวย์ เตรียมพาน้องแฟนธอม ขึ้นบิน
Take off now
ภาพจากมุมสูง จะเห็นแนวสันเขาทอดยาว สายน้ำไหลมาบรรจบ บ้านเรือนสองฟากฝั่งมีสะพานเชื่อมถึงกัน
ด้วยวิถีชีวิตที่เรียบง่าย ผู้คนที่น่ารักเป็นมิตร ผสมผสานวัฒนธรรมคนไทยมอญ และธรรมชาติที่ยังอุดมสมบูรณ์
ทำให้ที่นี่เป็นเมืองที่ลงตัวและมีมนต์เสน่ห์น่าหลงไหลอย่างมาก
ยามเช้า ที่ตลาดชุมชนมอญดูคึกคักเป็นพิเศษ เนื่องจากผู้คนมารอใส่บาตร ไม่เพียงแต่นักท่องเที่ยวเท่านั้น
ชาวบ้านที่นั่นเอง ก็แต่งชุดพื้นเมืองออกมายืนรอใส่บาตรหน้าบ้าน เป็นเอกลักษณ์ตามแบบวิถีชาวถิ่นมอญ
ภาพอีกมุมจากตลาดชุมชนชาวมอญ จะเห็นว่านักท่องเที่ยวเยอะกว่าเมื่อคืน เจ้าตูบก็เช่นกัน
เดินกลับมาที่บ้านพัก เพื่อทานมื้อเช้าที่เจ้าของบ้านเขาเตรียมไว้ให้
อาหารเช้าของเราวันนี้ได้แก่ ข้าวต้มหมูร้อนๆ ตักได้ไม่อั้น เช้านี้ผมขอรองท้องสัก 3 ถ้วยก่อนละกัน
นอกจากข้าวต้มแล้ว ยังมีอาหารว่างเป็น ขนมปังสดๆ จากเตาเสิร์ฟพร้อมแยม ทานได้ไม่อั้นเช่นกันครับ
หยิบมือถือขึ้นมาเช็คสภาพอากาศ เตรียมความพร้อมก่อนออกทริปในช่วงสาย
หลังทานอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อย เจ้าของบ้านแนะนำให้เราร่องเรือชม 3 วัดโบราณ พร้อมบอกกับเราว่า
"เช็คเอ้าท์เมื่อไหร่ก็ได้ ตามสบายครับ"
เราจึงไม่ลังเล เดินไปที่ท่าเรือ ติดต่อเรือนำเที่ยว ในราคาเช่าเหมา 500บาทต่อ6คน แล้วรีบกระโจนขึ้นเรือ
พร้อมแล้วก็ ..ไปกันเลย
ด.ช.บาส ไกด์ของเราวันนี้ อาสาพาเราไปร่องเรือชม 3 วัดโบราณแห่งลำน้ำซองกาเรีย อ.สังขละบุรี
โดยบาสบอกกับเราว่า "ไม่มีค่าใช้จ่าย หรือแล้วแต่พี่จะให้ครับผม"
น้องๆ ในชุมชนที่ว่างเว้นจากการไปโรงเรียน ก็จะมาขับเรือหรือเป็นมัคคุเทศก์นำเที่ยว
นอกจากจะเป็นการเสริมสร้างทักษะการนำเที่ยวแล้ว ยังสร้างอาชีพและรายได้ในช่วงวันหยุดอีกด้วย
ร่องเรือมาตามลำน้ำซองกาเรีย จุดแรกที่สะดุดตาคือ เจดีย์พุทธคยา ปูชนียสถานสำคัญของวัดวังก์วิเวการาม
ซึ่งหากมองจากระยะไกล จะมีสีเหลืองทองอร่ามจากการสะท้อนแสงกับดวงอาทิตย์ สวยงามมากครับ
วิหารเก่า วัดวังก์วิเวการามเดิม ตอนนี้น้ำสูงครับ ไม่สามารถลงไปเดินชมได้ ต้องนั่งดูอยู่บนเรือ
ใกล้กันนั้น จะมีหอระฆังที่ส่วนบนยังมีสภาพค่อนข้างสมบูรณ์อยู่ ซึ่งถ้าใครมาเที่ยวในช่วงฤดูร้อน
น้ำจะแห้งและสามารถลงไปเดินชมภายในได้
ไฮไลท์สำคัญของวัดใต้น้ำ แห่งสังขละบุรี หรือวัดวังก์วิเวการามเก่า คือโบสถ์นี้ครับ
วันนี้ระดับน้ำสูงพอดีกับพื้นโบสถ์ สามารถลงไปเดินชมภายในได้
ดูเหมือนจะมีคนเฝ้ารอ การมาถึงของเรานะเนี่ย
ใครมาเที่ยวที่นี่ ก็ยิ้มให้น้องๆ เขาด้วยนะครับ น้องๆ เขาน่ารักเป็นมิตรกันทุกคนเลย
ภายในโบสถ์ ยังมีพระพุทธรูปเก่าประดิษฐานอยู่ ให้นักท่องเที่ยวได้กราบไหว้ขอพร
บริเวณนี้จะมีดอกไม้ ธูปเทียนจำหน่ายสำหรับใครที่ต้องการกราบไหว้สักการะสิ่งศักดิ์เป็นศิริมงคลกับชีวิต
ภาพถ่ายมุมสูงจะเห็นบริเวณวัดวังก์วิเวการาม(เก่า) ทั้งหมด ที่ประกอบด้วยโบสถ์ วิหารและหอระฆัง
และจากในภาพ จะเห็นเจดีย์พุทธคยาห่างออกไป ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดวังก์วิเวการามปัจจุบัน ที่ได้ย้ายหนีน้ำขึ้นไป
ชมความอเมชซิ่งของโบสถ์เก่าหลังนี้กันพอหอมปากหอมคอ ก็ได้เวลากลับขึ้นเรือเพื่อออกเดินทางไปยังอีกหนึ่งวัด
นั่งเรือมาอีกนิด เดินขึ้นเนินเขามาอีกหน่อย ก็จะพบกับวัดสมเด็จ(เก่า) วัดนี้ย้ายหนีน้ำขึ้นมาอยู่บนเนินเขาสูง
แต่ภายหลังก็ได้ย้ายไปที่ใหม่ เหลือทิ้งไว้เพียงโบสถ์เก่าหลังนี้
ภายในโบสถ์ยังมีพระประธานองค์ใหญ่ประดิษฐาน ให้นักท่องเที่ยวได้กราบไหว์สักการะบูชา ตามขนบวิถีชาวพุทธ
กลับจากวัดสมเด็จเก่า เราก็ร่องเรือมายังวัดใต้น้ำอีกแห่ง นั่นคือ วัดศรีสุวรรณ
เป็นอีกจุดที่อยู่ในเส้นทางร่องเรือชมวัดของเรา
วันนี้เราได้เห็นเพียงส่วนบน ที่โผล่พ้นน้ำมาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น โดยเราก็ดูไม่ออกครับว่านี่คือส่วนใดของวัด
9.29 นาฬิกา ได้เวลากลับขึ้นไปบนฝั่งแล้ว
เรือแล่นกลับมาถึงสะพานไม้ โดยมีเด็กชายบาสนั่งคอนโทรลที่หัวเรืออย่างไม่เกรงกลัวต่อแสงแดด
กลับมายังสะพานมอญ สะพานไม้แห่งศรัทธา แลนด์มาร์คของสังขละบุรี
บรรยากาศตอนกลางวัน บริเวณคอสะพานฝั่งชุมชนมอญ รายล้อมไปด้วยร้านค้าและสินค้านานาชนิดให้เลือกสรร
สะพานไม้ที่นักท่องเที่ยวแวะเวียนกันมาไม่ขาดสาย ทำให้มีร้านค้าต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย
สร้างอาชีพและรายได้แก่คนในชุมชน
ก่อนกลับ ขอเดินเล่นบนสะพานให้หน่ำใจก่อนละกัน
สะพานมอญ หรือ สะพานอุตตมนุสรณ์ เป็นสะพานไม้ที่ยาวที่สุดในประเทศไทย มีความยาวประมาณ 900 เมตร
ถูกสร้างจากแรงศรัทธาของชาวบ้านในพื้นที่ที่มีต่อหลวงพ่ออุตตมะ
แม้อากาศจะร้อนเพียงใด นักท่องเที่ยวก็ไม่หวั่นจะขึ้นมาเดินชมความงาม และถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึก
เด็กสาวชาวมอญ สาวฮอตของสะพานแห่งนี้
ใครได้มาเที่ยวสะพานมอญ คงไม่อยากพลาดถ่ายรูปคู่กับสาวน้อยคนนี้แน่
ในแต่ละปี สะพานไม้แห่งแรงศรัทธานี้ ดึงดูดนักท่องเที่ยวให้หลั่งไหลกันมาอย่างไม่ขาดสาย
เช่นเดียวกับสายน้ำที่คอยหล่อเลี้ยงหลายๆ ชีวิตให้ดำรงอยู่ต่อไป
จบบันทึกการเดินทาง
"สะพานไม้อุตตมานุสรณ์ สะพานมอญ สังขละบุรี"
แล้วพบกันใหม่ "สังขละบุรี"