บันทึกการเดินทาง > เข้าป่าหน้าหนาว อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ชัยภูมิ
ส่งท้ายปี 2559 ด้วยทริปสั้นๆ
ในช่วงวันหยุดยาวของเดือนธันวาคม สำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างผม ก็พอจะมีวันลาพักร้อนเหลืออยู่บ้าง
จะให้นอนอยู่ห้องเฉยๆ 3-4วัน ก็ยังไงๆ อยู่ หยุดยาวแบบนี้ ขอไปนอนตากอากาศในป่า รับลมหนาว
สัมผัสไอหมอก สูดกลิ่นต้นไม้ใบหญ้า โบกมือลาอากาศเมืองกรุงชั่วคราว
ความตั้งใจแรกนั้น คิดเอาไว้ว่าอยากไปเดินขึ้นเขา
ลัดเลาะป่า ชมพระอาทิตย์ตกริมผา กางเต็นท์นอนดูดาว
สัมผัสอากาศที่หนาวเย็น แต่เมื่ออยู่ๆ ก็เกิดบาดเจ็บที่เอ็นนิ้วเท้า ก่อนวันเดินทางเพียง3 วัน
แม้แต่ยืนเฉยๆ ยังลำบาก เดินป่าไม่ต้องพูดถึงเลย
ผ่านไป 72ชั่วโมง หลังพบแพทย์และพักรักษาตัว จนอาการดีขึ้นเกือบจะเป็นปกติ
ด้วยความอยากเที่ยวที่ยังคงมีอยู่ ลุกจากที่นอนมาเปิดคอมฯ เข้ากูเกิล ค้นหาสถานที่ท่องเที่ยวในรัศมี 300กิโลเมตร
ภายใต้ข้อจำกัดทางกายภาพ ค้นไปค้นมาก็เจอ อุทยานฯ ป่าหินงาม จังหวัดชัยภูมิ
ห่างจากกรุงเทพฯ เพียง 290 กิโลเมตร เดินทางไม่น่าจะเกิน 4 ชั่วโมง และที่สำคัญ ขับรถไปถึงเลย
ผมตัดสินใจเก็บข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นยัดใส่เป้ใบใหญ่จนเต็ม หยิบกล้อง แบกเต๊นท์
โยนใส่ท้ายรถ พร้อมออกเดินทาง
ทริปนี้ขับรถเอง การเดินทางจากบางนา ใช้ทางด่วนรามอินทรา-อาจนรงค์ วิ่งไปจนถึงวงแหวนตะวันออก
ขับยาวไปถึงบางปะอิน-ลพบุรี โดยใช้ทางเลี่ยงเมืองสระบุรี
วิ่งไปตามถนนหมาย 21 สระบุรี-หล่มสัก เมื่อถึง อ.ชัยบาดาล ก็เลี้ยวขวาตัดเข้าถนน 2129
เจอไฟแดงแรก เลี้ยวซ้ายผ่านตลอดเข้าถนน 205 มุ่งหน้าสู่ อ.เทพสถิต ขับมาเรื่อยๆ ประมาณ 40 กิโลเมตร
เมื่อเจอป้ายบอกทางสีน้ำเงิน อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ไทรทอง และภูแลนคา
ให้เลี้ยวซ้าย (2354) ขับต่อไปอีก 17 กิโลเมตร ก็จะถึงทางแยกเข้าอุทยานฯ
ออกจากกรุงเทพฯ 13.30น. ขับรถส่วนตัวมาถึงที่ทำการอุทยานป่าหินงามในเวลา 18.00น.
นับเวลารวม 4ชั่วโมงครึ่ง (+เวลาแวะเติมปั๊มน้ำมันและทานอาหาร)
ถึงทางเข้าอุทยานฯแล้ว จอดรถชำระค่าธรรมเนียมกันก่อน
ค่าธรรมเนียมบุคคลสำหรับเข้าชมอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม คนละ 40 บาท ครับ
และจ่ายเพิ่มอีก 30 บาท สำหรับยานพาหนะ
ขับรถเข้ามาจอดบริเวณหน้าอาคารศูนย์บริการนักท่องเที่ยว หว้าเหว่จริงๆ
สอบถามเจ้าหน้าที่เรื่องจุดกางเต็นท์ ได้ความว่า มีพื้นที่ให้กางเต็นท์ 2จุด คือที่ตรงข้ามกับอาคารแห่งนี้
ห่างออกไป 50เมตร ส่วนอีกจุด อยู่ห่างออกไปด้านหลังของอาคารนี้ประมาณ 150เมตร
เดินไปด้านข้างศูนย์ฯ มีห้องน้ำไว้อำนวยความสะดวก
ในใจก็เล็งพื้นที่ตรงนี้ไว้ เพราะน่าจะสะดวกเดินมาเข้าห้องน้ำตอนดึก
พักเรื่องกางเต๊นท์ไว้ก่อน แล้วหาเส้นทางไปหน้าผา เพื่อไปดูดวงอาทิตย์ตกดิน
กลับขึ้นรถ ขับต่อไปยังผาสุดแผ่นดินที่ห่างออกไปจากศูนย์บริการฯ ราว 2กิโลเมตร
มาถึงผาสุดแผ่นดินหกโมงเย็น นักท่องเที่ยวกลุ่มสุดท้าย ขับรถสวนทางออกไป
เหลือเพียงหินริมผากับแสงรำไรของดวงตะวัน
ที่กำลังจะลาลับขอบฟ้า
กลับลงมายังที่ทำการอุทยานฯ ก็มืดมากแล้ว ขับรถผ่านลานกางเต็นท์จุดที่2
ที่อยู่ติดกับทางขึ้นไปผาสุดแผ่นดิน
บริเวณนี้มืดมาก ไม่มีใครกางเต็นท์จุดนี้เลย แต่บรรยากาศค่อนข้างดี
ผมขับเลยออกมาจอดรถที่เดิมหน้าศูนย์บริการ เดินไปสำรวจบริเวณลานกางเต๊นท์จุดที่1
มีรถยนต์นักท่องเที่ยวท่านอื่นจอดเกือบ10 คัน พร้อมกับเต๊นท์หลายหลังกางอยู่เรียงกัน
แต่ผมหาทางขับรถลงไปจุดกางเต็นท์ไม่ได้
เพราะทางมืดและมีต้นไม้เยอะ
จึงตัดสินใจกางเต็นท์มันตรงหน้าศูนย์นี่แหละ
ใกล้ห้องน้ำ แถมยังโปร่งโล่ง มีน้องหมาเป็นเพื่อนอีกตะหาก
รู้สึกเหมือนถูกโดดเดี่ยว แต่ก็ดี ไม่ต้องวุ่นวายกับใคร
กางเต็นท์เสร็จก็เอาอาหารที่เตรียมมา ออกมาทานจนอิ่ม จากนั้นเอนกายลงจนหลังติดพื้นนาน 30นาที
ก่อนจะไปอาบน้ำอาบท่า ห้องน้ำของอุทยานค่อนข้างดีและสะอาดมาก มีสบู่ไว้บริการด้วย
ห้องน้ำแยกชายหญิง แยกห้องอาบน้ำ และมีห้องน้ำคนพิการ จะขาดก็แต่เครื่องทำน้ำอุ่น
อาบน้ำเสร็จ กลับมานอนดูดาว ท่ามกลางสภาพอากาศที่หนาวเย็น มีลมโกรกเบาๆ
อากาศค่อยๆ เย็นตัวลงจับกันเป็นน้ำค้าง ฟลายซีตของเต็นท์ก็ไม่ได้ช่วยอะไรสักเท่าไหร่
นอนดูดาวได้สักพักก็เริ่มง่วง เลยรูดซิบเต็นท์แล้วเข้านอน
สำหรับคืนนี้ ราตรีสวัสดิ์ครับผม
เช้าวันที่ 12 ในเดือนสุดท้ายของปี ตื่นขึ้นมาพบบรรยากาศสุดพิเศษ ท่ามกลางขุนเขา และธรรมชาติรอบตัว
อากาศดีๆ ธรรมชาติสวยๆ สูดกลิ่นไอหมอกยามเช้า
เดินทางมาไกลแค่ไหนก็คุ้มค่า
"ผาสุดแผ่นดิน"
คือจุดชมวิวที่สูงที่สุดของเทือกเขาพังเหย เป็นเส้นแบ่งระหว่างภาคกลางกับภาคอิสาน
มีความสูงอยู่ที่ 846 เมตรจากระดับน้ำทะเล
ข้อดีของการมาเที่ยวช่วงนี้ คือนักท่องเที่ยวบางตา
ก็เพราะจุดเด่นของอุทยานแห่งนี้ คือ ทุ่งดอกกระเจียว ซึ่งจะบานในช่วงฤดูฝน
ไฮไลท์ของผาสุดแผ่นดิน ก็คือแท่นหินที่ยื่นออกนอกผา
นักท่องเที่ยวนิยมถ่ายภาพกัน แม้แต่ละครเรื่องเจ้าแม่นาคี ก็ยังมาถ่ายทำในบริเวณนี้
นอกจากหน้าผาแล้ว ใกล้ๆ กันก็ยังมีทางเดินศึกษาธรรมชาติ ให้นักท่องเที่ยวได้เดินชมความอุดมสมบูรณ์ของแมกไม้
เหมาะแก่การทัศนศึกษาของเด็กๆ
ในช่วงฤดูหนาวนี้ จะพบเห็นหมู่ดอกไม้ได้น้อยมาก
ไม่มีดอกไม้ ดูต้นไม้ก็ได้ ความสุขเกิดที่ใจ จะดูอะไรก็สุขใจได้เหมือนกัน
ยิ่งเดินลึกเข้าไป ก็ยิ่งร่มรื่นดีจริงๆ บรรยากาศที่หาไม่ได้ง่ายๆ ในเมืองกรุง
บางครั้งเจอทุ่งหญ้าสีเขียวสีเหลืองทอง ก็อยากวิ่งเข้าไปแหวก แต่ก็กลัวงูเหลือมจะเอาไปกินซะก่อน
หลังจากสูดอากาศให้ชื่นปอดแล้ว ก็เดินย้อนกลับมาที่รถ เซย์กู๊ดบายผาสุดแผ่นดิน ขับลงมาตามทาง
ผ่านทุ่งดอกกระเจียว เหลียวมองอย่างมีความหวัง ก็ไม่เจอสักดอก ป้ายนี้ขอผ่าน
ไปป้ายหน้าเลยละกัน ลานหินหน่อ
จอดรถไว้ริมทาง เดินลงไปชมลานหินสักหน่อย เผื่อจะเจอสักหน่อ
ลานหินหน่อ
เข้าใจว่าเรียกตามลักษณะหินที่ผุดขึ้นมาเป็นหน่อๆ
แต่ละก้อนก็มีรูปร่างแตกต่างกันไป ตามแต่ธรรมชาติจะรังสรรค์
ธรรมชาติมักจะทำให้เราประหลาดใจได้อยู่เสมอ
ใกล้ๆ ความเข้มแข็ง ก็จะมีความอ่อนโยนซ่อนอยู่
หมากอะไรไม่รู้ รู้แต่ว่าเหมือน บักเล็บแมว แถมมีสีม่วงแบบชาวเรา
นอกจากจะพบเจอดอกไม้นานาพันธ์ุ ก็ยังมีกล้วยอีกด้วย แต่นี่ไม่ใช่กล้วยไม้แน่นอน ดูแล้ว มันน่าจะเป็นกล้วยหิน มากกว่า
ด อ ก ไ ม้ กั บ ผู้ ห ญิ ง ก็ เ ข้ า กั น ดี น ะ
หินน้อหิน มองดีๆ จะเห็นหน้าลิง ตามแต่จะจินตนา
ถ้าใครไม่เห็น ไปส่องกระจกจะเห็นชัดกว่า
เห็นหินก้อนนี้ ทำให้นึกถึงภูเรือกับทริปในวัยเยาว์
จากลานหินหน่อ ขับรถไปต่อยัง ลานป่าหินงาม
ขับรถเข้ามาถึงลานจอด บริเวณหน้าอาคารนิทรรศการป่าหินงาม บรรยากาศดูเงียบเหงา
ไม่มีนักท่องเที่ยวแม้แต่คนเดียว ขับเลยไปจอดใกล้ๆ บริเวณทางขึ้นลานหิน
"ลานหินงาม"
ประกอบด้วยหินใหญ่รูปร่างแปลกตาอยู่ทั่วพื้นที่ 10 ไร่
หินเหล่านี้ถูกกาลเวลาเปลี่ยนแปลงรูปร่างมายาวนานนับล้านปี จนมีรูปทรงที่แตกต่างกันออกไป
สามารถเดินชมทั่วบริเวณได้ในเวลาประมาณ 30 นาที
บริเวณทางเข้า จะมีป้ายแนะนำเส้นทางการเดิน และระเบียบปฏิบัติ เช่น ห้ามปีนป่ายหิน ห้ามขีดเขียน
นักท่องเที่ยวควรปฏิบัติตามกฏเพื่ออนุรักษ์ธรรมชาติเหล่านี้ ไว้ให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชมนะครับ
เดินเข้ามาภายใน จะมีป้ายแนะนำจุดที่น่าสนใจของลานหินงาม ตามไปดูกัน
อันดับแรกต้องขึ้นที่สูง สำรวจไปรอบๆ ก่อนว่าจะเดินไปทางไหน เพราะอากาศร้อน เกรงว่าจะไปได้ไม่ทั่วครบทุกจุด
จุดแรกที่เดินเข้ามาก็เจอเลย หินถ้ำมอง เหมือนตัวอะไรชะเง้อหัวมอง
หินปราสาท
เป็นหินที่สังเกตได้ง่ายจากระยะไกล ใครมาที่นี่ ไม่น่าจะพลาดแน่นอน
หินแม่ไก่ยักษ์
อยู่ไกลออกไปนิดหน่อย แต่เริ่มเดินไม่ไหวแล้ว อากาศร้อน แถมสังขารก็ไม่เอื้อ
หินถ้วยฟีฟ่า
ว่ากันว่าแอบไปคล้ายถ้วยรางวัลฟุตบอลโลก
ไม่แน่ว่าคณะกรรมการฟีฟ่า อาจจะเคยเดินทางมาเที่ยว แล้วได้แรงบันดาลใจจากตรงนี้ไปก็ได้
ส่วนหินที่เหลือ ที่หาไม่เจอ ก็อาจจะต้องใช้เวลาเดินหาอีกนิด แต่ด้วยสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวย
ประกอบกับแสงแดดที่เริ่มแผดเผา จึงทำให้ผมต้องหยุดการเดินป่าไว้เพียงเท่านี้
วันหน้า หากได้มีโอกาศมาเที่ยวที่นี่อีกค รับรองไม่พลาดแน่นอน
อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม นอกจากจะเดินทางมาสะดวกแล้ว ยังเหมาะแก่การพาครอบครัวมาพักผ่อน
พาเด็กๆ มาเรียนรู้ศึกษาธรรมชาติได้ตลอดทั้งปี
สามารถเดินทางมาแบบไปเช้าเย็นกลับ หรือจะนอนค้างคืนก็ได้ เพราะนอกจากจะมีสถานที่กางเต็นท์
ก็ยังมีบริการบ้านพักไว้บริการนักท่องเที่ยวอีกด้วย
สามารถสำรองที่พักได้จากเว็บไซต์ของอุทยานนะครับ
http://nps.dnp.go.th/
ได้เวลาเดินทางต่อไปยังจังหวัด เ พ ช ร บู ร ณ์
จะเป็นที่ไหนนั้น ติดตามกันต่อได้
กับบันทึกการเดินทางของผม นะครับ